วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2562

มะเขือเทศ กินอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด?





น้ำมะเขือเทศ เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณหลากหลาย และมีสารอาหารสำคัญมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของผิวสวย น้ำมะเขือเทศจึงเป็นเครื่องดื่มที่คุณผู้หญิงทั้งหลายนิยมดื่มกันมาก นอกจากการบำรุงผิวแล้วน้ำมะเขือเทศยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมาย โดยสารหลักที่เป็นประโยชน์ของ มะเขือเทศ ก็คือ "ไลโคปีน" มีมากใน มะเขือเทศ และแตงโม เป็นสารชนิดหนึ่งที่ช่อยต่อต้านอนุมูลอิสระ และจำเป็นในทุกช่วงอายุของคนเรา

ประโยชน์ของไลโคปีนในมะเขือเทศ

"ไลโคปีน" (lycopene) ที่อยู่ในมะเขือเทศ เป็นสารอีกตัวในกลุ่มแคโรทีนอยด์ พบมากในผักผลไม้ที่มีสีส้มสีแดง อย่างเช่น แครอท แตงโม มะละกอ ฟักข้าว เกรปฟรุต ซึ่งถือว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่สามารถป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งมะเขือเทศสด 100 กรัม จะมีปริมาณไลโคปีนอยู่ประมาณ 0.9 –9.30 มิลลิกรัม ซึ่งมีส่วนช่วยบำรุงสุขภาพแทบจะทุกสัดส่วนของร่างกาย อาทิ
  1. ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ เพราะในมะเขือเทศจะมีไฟเบอร์และน้ำอยู่มาก จึงช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นไปอย่างปกติ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งตับอ่อนได้อีกด้วย
  2. ชะลอความแก่ ลดริ้วรอยแห่งวัย บำรุงผิวพรรณให้สดใส ชุ่มชื้น เนื่องจากมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง
  3. ช่วยบำรุงสายตา เพราะมีวิตามินเอสูง
  4. รักษาโรคลักปิดลักเปิด และเลือดออกตามไรฟัน
  5. ช่วยกำจัดคอเลสเตอรอลไม่ดีที่อยู่ตามผนังหลอดเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  6. ช่วยควบคุมและลดระดับน้ำตาลในเลือด
  7. ลดอาการบวมน้ำในร่างกาย ช่วยควบคุมสมดุลของเหลวในเซลล์และเนื้อเยื่อ
  8. ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพราะมะเขือเทศมีวิตามินเคสูง
  9. บำรุงผมให้แข็งแรงเงางามมีสุขภาพดี
  10. ช่วยลดความเครียดได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ มะเขือเทศ

วิธีทานมะเขือเทศให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

ส่วนใหญ่ในการรับประทานผัก หากต้องการให้ได้แร่ธาตุและวิตามินครบถ้วนก็มักจะต้องทานแบบดิบๆ แต่มะเขือเทศไม่เป็นเช่นนั้น การทานมะเขือเทศเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ต้องทำให้มะเขือเทศสุกเสียก่อน เนื่องจากมะเขือเทศที่ผ่านความร้อนแล้ว จะทำให้ไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศหลุดออกจากกันได้ง่าย ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ได้ดีกว่ากินแบบไม่ผ่านความร้อน อีกทั้งไลโคปีนนั้นสามารถละลายได้ดีในน้ำมัน ดังนั้นหากเราใช้น้ำมันในการปรุงมะเขือเทศ จะยิ่งทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนดียิ่งขึ้น

แต่ก็ใช่ว่าทานมะเขือเทศแบบสดจะไม่ดี

เพราะในมะเขือเทศก็มีวิตามินซีสูงเช่นกัน ดังนั้นหากต้องการวิตามินซีสูง มีใยอาหาร ทำให้ผิวพรรณดี ก็รับประทานสด แต่ถ้าต้องการให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆก็รับประทานที่ผ่านความร้อนมาแล้วได้เช่นกัน สรุปแล้วมะเขือเทศมีคุณค่าน่ารับประทานยิ่งนักส่วนใครที่ชอบดื่มเป็นน้ำมะเขือเทศก็อย่าดื่มมากเกินวันละ 2 แก้ว เพราะเดี๋ยวโรคนิ่วจะถามหาเอาได้
นอกจากเรื่องการทานมะเขือเทศที่ปรุงสุกแล้วจะได้ประโยชน์สูงสุด เรื่องเพศที่ทานมะเขือเทศก็สำคัญโดยผู้หญิงควรทานมะเขือเทศสดเพราะจะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินซี และใยอาหารมากทำให้ผิวสวย ส่วนผู้ชายควรทานมะเขือเทศสุกเพื่อให้ร่างกายได้รับสารไลโคปีนมากๆ เพื่อช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2562

COENZYME Q10 คืออะไร?

ในปัจจุบันนอกจากการรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารแล้วก็ยังมีเหล่าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมากมายที่ผลิตออกมาเพื่อเป็นการเพิ่มสารอาหารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราซึ่งอาหารเสริมอีกหนึ่งตัวที่สาวๆ ส่วนใหญ่นิยมรับประทานกันก็คือ Q10 เพราะเชื่อว่าเมื่อร่างกายของเราได้รับ Q10 ในปริมาณที่เพียงพอจะช่วยให้ผิวพรรณสวยเปล่งปลั่ง ผิวดูสุขภาพดีมีน้ำมีนวล แต่ความเชื่อนี้เป็นความเชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ แล้ว Q10 นั้นจริงๆแล้วมันคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรต่อร่างกายของเราบ้าง?

โคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) คืออะไร

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

Q10 หรือ Coenzyme Q10 (Ubiquinone Coenzyme Q-10) หรือที่รู้จักกันในทางการแพทย์อีกชื่อหนึ่งว่า CoQ10 คือสารที่มีคุณสมบัติคล้ายวิตามินซึ่งร่างกายสามารถผลิตเองได้ในปริมาณหนึ่ง มีฤทธิ์ช่วยขนส่งอิเล็กตรอนและช่วยในกระบวนการผลิตพลังงานของเซลล์ในร่างกาย และกระตุ้นการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย โดยสารชนิดนี้มักพบได้มากในอวัยวะที่ต้องใช้พลังงานมาก เช่น หัวใจ ไต ตับ และตับอ่อน

โคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) มาจากไหน

Coenzyme Q10 ตามธรรมชาตินั้น เกิดขึ้นเองภายในเซลล์ของอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูงเช่น หัวใจ ตับ ไต และยังพบที่เซลล์อื่นๆอีก เช่น ที่ผิวหนังโดยที่ชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้แต่จะมีจำนวนลดลงเมื่อมีอายุมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับจากการรับประทานอาหารจำพวกปลาที่มีไขมันมาก เช่น น้ำมันปลา ปลาทะเลน้ำลึก ปลาทู ปลาซาบะ ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน เนื้อสัตว์ประเภทไก่ ไข่ เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ตับ ไต หัวใจ ถั่ว เมล็ดธัญพืชที่ไม่ขัดขาวผลไม้เปลือกแข็งผักเช่น บร๊อคโคลี่ ปวยเล้ง  อาหารทะเล ผลิตภัณฑ์จากนม น้ำมันถั่วเหลือง ผัก รำข้าว ซีเรียล

ทำไมโคเอ็นไซม์ คิวเทน (Coenzyme Q10) ถึงดีต่อร่างกายของเราล่ะ

คุณสมบัติเด่นของ Coenzyme Q10 เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง คือสามารถชะลอความแก่ได้โดยที่ Coenzyme Q10 สามารถสร้างพลังงานให้กับผิวเพื่อในการแบ่งเซลล์ ทำให้ริ้วรอยต่างๆสามารถลดลงและเลือนหายไป นอกเหนือจากคุณสมบัติในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และชะลอความแก่ได้แล้วนั้น   Coenzyme Q10 ยังมีคุณสมบัติต่างๆเช่นในการทำงานของหัวใจดีขึ้น ช่วยเสริมเกราะภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นป้องกันและรักษาโรคเหงือกความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง และ Coenzyme Q10 นั้นยังมีประโยชน์อีกมากมายดังนี้
  1. โคเอนไซม์คิวเทนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในทุกเซลล์ของสิ่งมีชีวิต มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างพลังงาน ดังนั้นจึงมีการนำ โคเอนไซม์ Q10 มาใช้เป็นเครื่องสำอางค์สำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (Photo aging) กล่าวคือ รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) จะทำให้เกิดการผลิตอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรมในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดริ้วรอย หมองคล้ำได้ มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ โคเอนไซม์ Q10 ว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง โดยให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์ Q10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลานาน 6 เดือน พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลงถึง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกักลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของโคเอนไซม์Q10 อยู่ ดังนั้นโคเอนไซม์ Q10 จึงมีส่วนช่วยลดริ้วรอยและชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังได้เป็นอย่างดี และโคเอนไซม์ Q10 ยังเป็นสารสำคัญในการสร้างพลังงานให้กับเซลล์ผิว ช่วยให้เซลล์ผิวแข็งแรง นอกจากนี้โคเอนไซม์ Q10 ยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์ผิวทำให้ผิวแน่น ยืดหยุ่นได้ดี ช่วยให้แผลหายได้เร็วขึ้น
  2. มีความสำคัญอย่างมากต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย เพราะถ้าหากร่างกายขาด Coenzyme Q10 เซลล์ในร่างจะหยุดทำงานทันที!!
  3. มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดริ้วรอย และชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง
  4. Coenzyme Q10 มีคุณสมบัติคล้ายกับวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของหัวใจ เพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
  5. โรคเกี่ยวกับเหงือก เหงือกทำหน้าที่ในการยึดและพยุงฟันให้คงอยู่ในช่องปาก โรคเหงือกที่เป็นปัญหาและพบได้บ่อยเกิดจากคราบจุลินทรีย์ที่ถูกปล่อยให้สะสมอยู่บนตัวฟัน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อต่างๆ จากการวิจัยพบว่าการรับ โคเอนไซม์ Q10 เข้าไปในร่างกายจะช่วยลดและบรรเทาอาการเหงือกบวมรวมถึงอาการฟันโยก (Periodontitis) ได้ และช่วยรักษาโรคเหงือก ชะลอความผิดปกติและการดำเนินของโรคพาร์กินสันได้
  6. สำหรับผู้สูงอายุหลายๆคนแล้วการรับประทานโคคิว10 จะทำให้ร่างกายรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาทันที โรคที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายเช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์คินสัน เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทที่พบได้มากที่สุด การได้รับโคเอนไซม์ Q10 เข้าไปในร่างกายสามารถช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้เนื่องจากใน โคเอนไซม์ Q10 มี ฟีนีลอะลานิน(Phenylalanine) ช่วยการทำงานของต่อมไทรอยด์ให้กระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้รู้สึกสดชื่นตื่นตัว ลดความซึมเศร้า ช่วยให้ความจำและระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น  และเนื่องจากคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระของโคเอนไซม์ Q10 ซึ่งสามารถช่วยปกป้องการทำลายของอนุมูลอิสระในสมองได้ จากการศึกษาพบว่าการให้โคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมช่วยชะลอความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อระบบประสาทและสมองได้
  7. เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เพราะโคคิว10 จะไปช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอกได้ดีกว่ายาแผนปัจจุบัน ในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดสูงเกินไป Q10 จะยับยั้งไม่ให้โคเลสเตอรอลจับเป็นก้อนอุดตันเส้นเลือด ใช้ในการรักษาโรคหัวใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวใจล้มเหลวเนื่องจากเส้นเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ (Congestive heart failure) ทั้งนี้เนื่องจากความรุนแรงของโรคผู้ป่วยโรคหัวใจดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสัมพันธ์กับการขาดโคเอนไซม์ Q10 ดังนั้นเมื่อผู้ป่วยโรคหัวใจได้รับโคเอนไซม์ Q10 จึงทำให้หัวใจทำงานได้ดียิ่งขึ้น เคยมีการศึกษาในผู้ป่วยโรคหัวใจมากกว่า 2,500 คนแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม โดยให้ผู้ป่วยโรคหัวใจกลุ่มหนึ่งได้รับโคเอนไซม์ Q10 อีกกลุ่มหนึ่งให้ยาหลอกเป็นเวลา 12 เดือน ผลปรากฏว่า 80%ของผู้ป่วยที่ได้รับโคเอนไซม์ Q10 ทุกวันๆละ 100 มิลลิกรัมมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีการทำวิจัยไว้ถึง 25 ชิ้น พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 70 มีอาการดีขึ้นจากโรคหัวใจ โดยมีการศึกษาครั้งหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Therapeutics พบว่าการใช้โคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิตได้มากกว่า 15.7 เปอร์เซ็นต์ และทำให้การออกกำลังกายได้นานขึ้น 25.4 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง พบว่าผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมักมีอาการขาดโคเอนไซม์ Q10 ร่วมด้วย ดังนั้นการรับประทานโคเอนไซม์ Q10 อาจจะช่วยให้อาการความดันโลหิตสูงดีขึ้น
  8. เชื่อว่าสามารถช่วยรักษาและป้องกันโรคมะเร็งได้ เนื่องคุณสมบัติของการมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระของโคเอนไซม์ Q10 ทำให้สามารถช่วยป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้ ยังมีการศึกษาบางชิ้นที่แสดงว่าโคเอนไซม์ Q10 ให้ผลดีต่อการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย อีกทั้งมีงานวิจัยพบว่าในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระดับโคเลสเตอรอลสูงในกระแสเลือด และผู้ที่ได้รับยากลุ่ม Statin ผู้ป่วยดังกล่าวควรจะรับประทานโคเอนไซม์ Q10 เพราะยากลุ่มดังกล่าวส่งผลต่อการยับยั้งสร้างโคเอนไซม์ Q10ในร่างกาย



Coenzyme Q10 กับความสวยความงาม
ลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนัง (Anti-aging/Skin care)
ผิวหนังมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษเชื้อโรคและรังสีอัลต้าไวโอเลต (Ultraviolet) จากแสงอาทิตย์ โดยรังสีอัลตร้าไวโอเลตนี้มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดริ้วรอยจะเป็นรังสี UVA โดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ซึ่งอนุมูลอิสระนี้เป็นผลิตผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนการออกซิเดชั่น (Oxidation) อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีน และสารพันธุกรรม(DNA) ในเซลล์ผิวหนังรวมถึงทำให้เกิดการทำลายของคอลลาเจน(Collagen)และโครงสร้างอื่นๆของผิวหนัง สูญเสียความยืดหยุ่นขาดความกระชับเกิดริ้วรอยและความหมองคล้ำ CoQ10 เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (Antioxidant) โดยจะไปป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นที่จะทำให้อนุมูลอิสระซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง  นอกจากนี้ CoQ10 พบมากที่ผิวหนังชั้นนอก(Epidermis)มากกว่าที่ผิวหนังชั้นใน(Dermis) ซึ่งเป็นผิวหนังชั้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากรังสี UVA จึงเป็นข้อดีอีกประการที่จะช่วยขจัดอนุมูลอิสระ(FreeRadical) ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและความหมองคล้ำนอกจากหน้าที่ในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระของผิวแล้ว Coenzyme Q10 คิวเท็นเปรียบเสมือนแหล่งผลิตพลังงานให้กับเซลล์ผิวหนัง หากเซลล์ผิวหนังได้รับพลังงานไม่เพียงพอก็จะทำให้เซลล์ทำงานผิดปกติก็จะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร มีงานศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลของ CoQ10 ต่อการลดริ้วรอยมากมายว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลง เช่นการศึกษาของ Gerson Unna พบว่าภายหลังที่กลุ่มทดลองได้รับ CoQ10 ในระยะเวลา 6 สัปดาห์ ริ้วรอยลดลงกว่า 27% และเมื่อได้รับ CoQ10 ต่อไปเป็นระยะเวลา 10 สัปดาห์ริ้วรอยลดลงกว่า 43%

ปริมาณของโคเอนไซม์ คิวเทนที่แนะนำ

  • การรับประทาน Coenzyme Q 10 เป็นอาหารเสริมควรบริโภคในปริมาณ 30-50 มิลลิกรัมต่อวัน เพราะหากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว โคเอนไซม์คิวเทนในรูปของอาหารเสริม เป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมัน ควรเลือกที่อยู่ในรูปของน้ำมันซึ่งจะดูดซึมได้ดีมาก โดยในรูปเจลที่อยู่ในรูปของน้ำมันถั่วเหลือง จะดูดซึมได้ง่ายและดีที่สุด ( ทานง่ายด้วย) และควรรับประทานแคปซูลขนาด 30 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด ได้ถึงวันละ 3 เวลา ทั้งนี้ควรเก็บให้พ้นแสง ควรเก็บไว้ในอุณภูมิปกติหรือเย็น (ห้ามแช่แข็ง)
  • สำหรับผู้ที่รับประทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลเพื่อลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ (สเตติน) จะทำให้โคคิว10 ในร่างกายลดลงได้ ซึ่งจะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากยิ่งขึ้น!! ดังนั้นควรรับประทานโคคิว10 ร่วมกับสเตตินด้วย
  • การรับประทานอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานกว่า 2 เดือนขึ้นไป กว่าจะเห็นผล
  • ขนาดที่แนะนำให้รับประทานต่อวันสำหรับวัยผู้ใหญ่คือ 30 มิลลิกรัม แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคชรา หรือเป็นโรคอื่น ๆควรรับประทาน 50 – 100 มิลลิกรัมต่อวัน
ผลข้างเคียง หากกินมากเกินไปจะเกิดอาการ คลื่นไส้อาเจียน ผื่นคัน ปวดหัว ท้องเสีย เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ มึนงง หงุดหงิด กระสับกระส่าย ตาแพ้แสง อ่อนเพลีย ครั่นเนื้อครั่นตัว
ข้อห้ามใช้ ผู้ที่ต้องระวังคือผู้ป่วยโรคเบาหวานน้ำตาลต่ำเพราะจะทำให้น้ำตาลลด  และคนที่เป็นโรคเลือดเพราะ Coenzyme Q 10 จะไปลดประมาณเกล็ดเลือดทำให้เลือดออกง่าย รวมถึงคนที่เป็นความดันต่ำ คนท้อง และแม่ที่ให้นมลูก

จะเห็นได้ว่า Coenzyme Q10 นั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อร่างกายของเรา ไม่ใช่แค่ในเรื่องของผิวพรรณความสวยความงามอย่างที่เราเข้าใจกันมาตลอดเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อเรื่องของสุขภาพของเรามากมายเช่นกัน

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2562

COLLAGEN คืออะไร?



คอลลาเจน นั้นเป็นหนึ่งในโปรตีนที่พบมากที่สุดในร่างกาย และเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง เส้นผม และเล็บ ดังนั้นมันจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนที่ชื่นชอบด้านความงามให้ความสนใจ 
คอลลาเจนนั้นเป็นสารในกลุ่ม polypeptide ซึ่งเกิดจากการผสมของกรดอะมิโนเช่นโพรลีนและไกลซีนซึ่งพบในเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน กระดูกอ่อน และผิวหนัง ร่างกายนั้นต้องการคอลลาเจนแต่ร่างกายก็สามารถสร้างได้ด้วยตัวเองดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่จำเป็นต้องทานผงคอลลาเจนเพิ่มเติมหรือทานเป็นอาหารเสริมแต่อย่างใด แล้วอาหารเสริมที่ผสมคอลลาเจนนั้นคืออะไรและความจริงคืออะไรกันแน่?

แหล่งของคอลลาเจน
คุณสามารถรับคอลลาเจนได้จากหลายรูปแบบ มีแบบเม็ดซึ่งอาจมีการผสมวิตามินซีร่วมด้วยซึ่งจะช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้น และยังมีในรูปแบบผงและน้ำซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่อยากกินยาเม็ดหรือมีปัญหาด้านการกลืน อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้น้อยมาก หากคุณเป็นมังสวิรัติหรือ vegan การทานคอลลาเจนนั้นจะช่วยให้คุณได้รับกรดอะมิโนแทนการรับประทานเนื้อสัตว์ คุณยังสามารถได้รับคอลลาเจนจากการรับประทานปลา เนื้อวัว หมูและไก่

คอลลาเจนกับร่างกาย

ร่างกายของมนุษย์นั้นไม่ได้ดูดซึมคอลลาเจนทั้งหมด ดังนั้นความคิดที่ว่าการรับประทานคอลลาเจนเสริมนั้นจะช่วยกระตุ้นการเจริญของกระดูกและบำรุงผิวหนังหรือเส้นผมโดยตรงนั้นเป็นความคิดที่ผิด ร่างกายจะต้องมีการย่อยคอลลาเจนให้แตกออกเป็นกรดอะมิโนในระบบทางเดินอาหารก่อนซึ่งกรดอะมิโนเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ร่างกายนำมาใช้เมื่อต้องการ มันจึงไม่ได้ทำให้ผิวหนังของคุณดูสว่างไสวขึ้นในทันที อย่างไรก็ตามมันก็อาจจะช่วยให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนเพิ่มขึ้นได้ งานวิจัยหนึ่งพบว่าคอลลาเจนนั้นมีประโยชน์ต่อกระดูกลแข้อต่อด้วยการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมามากขึ้นจากการมีกรดอะมิโนที่ต้องใช้เพิ่มขึ้น

คอลลาเจนกับผิวหนัง

ก่อนที่คุณจะทานคอลลาเจนเพื่อหวังว่าจะทำให้ผิวหนังดีขึ้น ควรเข้าใจก่อนว่าในปัจจุบันนั้นมีข้อมูลหรืองานวิจัยเกี่ยวกับการรับประทานคอลลาเจนน้อยมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุได้ว่ามันจะมีประโยชน์ต่อผิวหนังในผู้หญิงที่รับประทานอาหารที่สมดุลและอุดมไปด้วยโปรตีนแล้วหรือไม่ ในข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันมีงานวิจัยหนึ่งที่พบว่าผู้ที่ทานคอลลาเจนเป็นประจำต่อเนื่องกัน 8 สัปดาห์นั้นมีริ้วรอยลดลง 20%

คอลลาเจนกับเส้นผม

เมื่อคุณมีอายุเพิ่มขึ้น ระดับคอลลาเจนในร่างกายก็จะลดลงซึ่งอาจจะทำให้การทานคอลลาเจนนั้นดูเป็นเรื่องที่น่าสนใจ งานวิจัยพบว่าคอลลาเจนนั้นน่าจะช่วยเพิ่มการสร้างโปรตีนที่เป็นฐานของเส้นผมได้ซึ่งจะช่วยลดผมร่วง กระตุ้นให้ผมขึ้นและลดการเกิดผมขาวโดยการสนับสนุนโครงสร้างของต่อมขนบริเวณที่สร้างเม็ดสี นอกจากนั้นคอลลาเจนเสริมนั้นยังอาจจะช่วยในการรักษาเส้นผมที่แตกหรือเปราะได้ด้วยการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเส้นผม

คอลลาเจน อาหารและการใช้ชีวิต


การรับประทานคอลลาเจนเสริมเพียงอย่างเดียวนั้นไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ต้องรับประทานวิตามินซีและคอลลาเจนร่วมกันเนื่องจากหากมีวิตามินซีในร่างกายน้อยก็จะทำให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้น้อยเช่นกัน การรับประทานกะหล่ำปลี ผลไม้สีแดงและแครอทนั้นจะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ นอกจากคอลลาเจนในร่างกายจะลดลงเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยอื่นๆ เช่นความเครียด การรับประทานอาหารที่ไม่ดี และการเสียสมดุลในทางเดินอาหารก็สามารถลดการสร้างคอลลาเจนได้เช่นกัน

คอลลาเจนคืออะไร?